วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กลยุทธ์การผลักดันองค์กรของคุณสู่มาตรฐานที่เหนือคู่แข่งด้วย Business Intelligence Competency Centre (BICC)
บทความโดย บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
Website:
http://www.sas.com
ในขณะที่แนวโน้มของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิกต่างพยายามทําความเข้าใจและหาวิธีการพัฒนาเพื่อสร้างความหยั่งถึงทางธุรกิจ หรือที่เรียกว่าระบบธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence – BI) ให้กับองค์กรของตนในปัจจุบัน ผลสำรวจต่างๆ มากมายได้แสดงให้เห็นว่าความต้องการดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้ว ด้วยเหตุผลหลักๆก็คือองค์กรหลายแห่งยังคงประสบปัญหาในการบริหารจัดการทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่รวมถึงการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลักดันการตัดสินใจทางธุรกิจ จากผลการสำรวจของ BetterManagement.com (เว็บไซต์ที่ทำการวิจัยหาแนวทางพัฒนาการจัดการและตัดสินใจด้านธุรกิจแก่องค์กรทั่วโลก) แสดงให้เห็นว่ากว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารระบุว่าพวกเขาไม่เคยหรือแทบจะไม่ได้รับข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์และช่วยเสริมประสิทธิภาพของการตัดสินใจทางธุรกิจเลย หรือในบางครั้งได้รับข้อมูล แต่ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่สามารถสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจเพื่อสร้างกลยุทธ์แก่พวกเขาได้ สาเหตุดังกล่าว เริ่มขึ้นจากการขาดความเข้าใจในการสร้างและกระจายความหยั่งถึงทางธุรกิจไปในระดับองค์กร และมีการใช้งานในระบบดังกล่าวอย่างไม่ต่อเนื่องจึงก่อให้เกิดการทับถมของข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้องค์กรมากมายยังประสบปัญหาในบริหารจัดการและสร้างมาตรฐานระบบธุรกิจอัจฉริยะในระยะเริ่มต้น เพื่อที่จะให้สามารถกระจายใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆแผนกตามความต้องการ มีองค์กรเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่กำลังทำสิ่งที่จำเป็นในการจัดระเบียบข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างให้เกิดเป็นข้อมูลที่พวกเขาต้องการจริงๆต่อไป จุดนี้เองคือปัญหาที่เรียกว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรที่หลายๆแห่งประสบ เมื่อต้องปฏิบัติเสมือนว่าข้อมูลเป็นทรัพย์สินระยะยาวของบริษัทเพื่อสร้างกลยุทธ์ และสร้างความแตกต่างทางธุรกิจเหนือองค์กรอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนจากเดิมที่องค์กรสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของความรู้สึกหรือความเข้าใจที่มีต่อตลาดได้อย่างเดียว
สร้างความแตกต่างทางธุรกิจด้วย BICC (Business Intelligence Competency Center) ในฐานะผู้บริหารระดับสูงในปัจจุบัน คุณจำเป็นต้องวางแผนการตัดสินใจระยะยาวซึ่งจะส่งผลลัพธ์เชิงบวกแก่ธุรกิจ และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้นก็คือ ต้องเข้าใจกระบวนการความหยั่งถึงทางธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งจะสนับสนุนประสิทธิภาพในการตัดสินใจโดยผ่านข้อมูลอ้างอิงที่ถูกต้อง ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรจะสามารถสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งได้นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการคือ ‘คุณภาพของการกระจายการหยั่งถึงข้อมูลทางธุรกิจไปยังองค์กร” และ “คุณภาพของบุคคลากรในองค์กรที่จะสามารถใช้ เรียกดู และวิเคราะห์ข้อมูลหยั่งรู้นี้ให้กลายเป็นอาวุธชั้นดีในชี้นําธุรกิจขององค์กรได้ ในความหมายที่แท้จริงของ Business Intelligence หรือความหยั่งรู้ทางธุรกิจนั้น หมายถึง การได้ข้อมูลสําคัญทางธุรกิจที่ถูกต้อง และส่งมอบให้แก่บุคคลากรที่เป็นเป้าหมายเพื่อการวิเคราะห์ได้ และต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม ทันสถานการณ์เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้พวกเขาสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เหนือคู่แข่งจากการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม่นยํายิ่งขึ้น การที่องค์กรจะได้มุมมองโดยกว้างของภาพรวมทางธุรกิจนั้นจะต้องได้รับข้อมูล ที่สําคัญ 4 ด้านคือลูกค้า การเงิน การปฏิบัติการ และความเสี่ยงในธุรกิจ เมื่อได้ข้อมูลธุรกิจที่สําคัญทั้ง 4 ด้านดังกล่าวองค์กรก็ต้องการหน่วยงานที่มาเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาและขับเคลื่อนความหยั่งรู้ทางธุรกิจให้ไหลไปในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล BICC จึงเข้ามามีบทบาทสําคัญในองค์กร ซึ่งองค์กรทั้งหลายต่างตระหนักดีว่า การยกระดับความหยั่งรู้ทางธุรกิจได้กลายเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญมากกว่าการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นเดียวกับความหมายของคำว่า Business Intelligence (BI) BICC นั้นก็มีมุมมองที่เป็นมิติลึกไปกว่านั้น ซึ่งในแง่กลยุทธ์นั้น BICC จะเน้นเพิ่มไปที่
บุคคลากร กระบวนการ ระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรมองค์กร
การประเมินและการริเริ่ม BICC ในลำดับแรกของการเริ่มต้นก่อตั้ง BICC นั้น คุณจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าอะไรคือ Intelligence หรือข้อมูลธุรกิจสําคัญที่คุณต้องการ และการระบุว่าการตัดสินใจทางธุรกิจดังกล่าวจะต้องถูกกระทำใน รายวัน รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ในระดับการตัดสินใจของพนักงานในองค์กรที่มีลำดับตำแหน่งบริหารที่แตกต่างกันออกไป หลังจากนั้นคุณจะต้องมองว่าจะสามารถส่งมอบ Intelligence ที่ต้องการได้อย่างไรซึ่งแต่ละองค์กรก็ล้วนมีวิธีการที่จะทำให้เกิด Intelligence ที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีปัจจัยเฉพาะต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการสร้าง Intelligence ไม่ว่าจะเป็น ขนาดและโครงสร้างขององค์กร รูปแบบของข้อมูล ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดและจะต้องคำนึงถึงเสมอก็คือ ความเข้าใจระดับวุฒิภาวะขององค์กรในด้านขีดความสามารถของการสร้างและส่งมอบ Intelligence และในจุดนี้เองโมเดลที่มีชื่อว่า Information Evolution Model (IEM) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยบริษัท แซส ซอฟท์แวร์ จำกัด จึงกลายเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสร้างแนวทางเพื่อประเมินระดับความพร้อมขององค์กรรวมไปถึงการวางแผนกลยุทธ์เพื่อช่วยให้องค์กรของคุณสามารถพัฒนาไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยระบบ SAS – IEM เป็นการรวบรวมปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปถึง 5 ระดับซึ่งจะถูกสร้างซ้อนกันขึ้นไป ได้แก่
ขั้นปฏิบัติการ (Operate) – เพ่งไปที่ตัวบุคคล ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับบุคคลแต่ละราย
การรวบรวม (Consolidate) – ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในระดับส่วนงาน
การผสมผสาน (Integrate) – มาตรฐานในระดับองค์กรจะถูกนำมาใช้แทนที่
การใช้ให้เหมาะสม (Optimize) – ข้อมูลจะต้องถูกเตรียมพร้อมสำหรับการวัด จัดวางให้เหมาะสม และ ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
การสร้างนวัตกรรม (Innovation)– การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและการปรับปรุงสิ่งใหม่เพื่อแทนที่สิ่งเดิม
ขั้นตอน 5 ประการของโมเดลพัฒนาการ
การเข้าใจในโมเดลดังกล่าวจะไล่ระดับของความเข้าใจตั้งแต่ บุคคลากร กระบวนการ ระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรมองค์กรถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นพื้นฐานของ BICC ซึ่งจะสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้แก่องค์กรของคุณต่อไป ความสามารถในการสร้าง BICC นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับความพร้อมขององค์กรของคุณ แต่เกิดจากวัตถุประสงค์ของการสร้าง Intelligence ที่จะสามารถกำหนดโครงสร้างของ BICC ของคุณได้ต่อไป พื้นฐานในการดำเนินการ BICC บางแห่งอาจเริ่มจากระบบสนับสนุนขั้นต้นเท่านั้น แต่แซสมีข้อแนะนำเพื่อให้องค์กรสามารถเพิ่มเติมมุมมองเพื่อการริเริ่ม Business Intelligence อย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่
โปรแกรม Business Intelligence:การเลือกว่าระบบโปรแกรม BI ใดที่สมควรต้องถูกใช้งานควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
การให้บริการข้อมูล: คุณภาพของข้อมูล (Data Quality) ระบบการจัดการ และนโยบายจะถูกควบคุมโดย BICC
การได้มาซึ่งข้อมูล: การรวบรวมข้อมูล (Data Integration) และจัดเก็บข้อมูล (Storage)
การวิเคราะห์ขั้นสูง
การสนับสนุน: การสนับสนุน และบริการที่ดีเลิศสำหรับผู้ใช้งานทางธุรกิจ
การผึกอบรม: การจัดการความเปลี่ยนแปลง การบริหารโครงการ และกระบวนการผสมผสานการผึกอบรมเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ Intelligence ให้มีประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการสัญญากับผู้ให้บริการระบบ
พื้นฐานของ BICC เนื่องจาก BICC ถือเป็นเป้าหมายที่เป็นกลยุทธ์ระดับองค์กร จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวมทั้ง 2 ส่วนหน่วยงานในการทํางานควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานเทคโนโลยี และหน่วยงานทางธุรกิจ และควรต้องขึ้นตรง รายงานผลกับผู้บริหารระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น CFO CIO หรือแม้แต่ CEO ที่สำคัญที่สุด BICC ควรกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างองค์กร ที่มีหน้าที่ในการผสมผสานบทบาทเชิงธุรกิจเข้ากับคนไอที บทบาทเชิงธุรกิจดังกล่าวได้แก่ ผู้วิเคราะห์ธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอุตสาหกรรม และ ผู้จัดการโครงการ ส่วนตัวอย่างของบทบาทเชิงเทคโนโลยีได้แก่ ผู้ควบคุมด้านเทคนิค ผู้ดูแลเหมืองข้อมูล นักออกแบบคลังข้อมูล ที่ปรึกษาด้านคลังข้อมูล และนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น เป็นต้น นอกเหนือจากหน้าที่เหล่านี้แล้วเรายังต้องการความชำนาญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงและสื่อสารความเปลี่ยนแปลงนั้นออกไปเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการสร้าง Intelligence BICC ควรได้รับการควบคุมการทำงานโดยบุคลากรซึ่งได้รับการระบุว่าจะกลายเป็นผู้บริหารในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่า BICC จะสามารถทำงานในฐานะจุดเริ่มต้นของการสร้างแนวคิดและแนวทางปฏิบัติสำหรับพวกเขาเหล่านั้นเพื่อให้ได้รับภาพรวมขององค์กรทั้งหมดอย่างครบถ้วน ขนาดของ BICC มีความหลากหลายตั้งแต่ขนาดจำนวน 12 คนไปจนถึงนับร้อยๆ คน ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท อาทิเช่น บริษัทประกันภัยชั้นนำในแอฟริกาใต้ได้ตั้ง BICC สำหรับคนจำนวน 10 ถึง 20 คน โดยในความพยายามที่จะสร้าง Intelligence แก่องค์กรนั้น บริษัทดังกล่าวได้ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อสนับสนุนความพยายามในการบริหารระบบจัดการข้อมูลใหม่ ส่วนในประเทศญี่ปุ่น NTT DoCoMo ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านการโทรคมนาคมระดับโลกได้สร้าง BICC ซึ่งประกอบไปด้วยพนักงานกว่า 100 คน องค์กรทั้งสองต่างได้ทำการตัดสินใจซึ่งจะส่งผลระยะยาวต่อธุรกิจว่าการสร้าง Intelligence คือหัวใจหลักสำคัญที่ต้องได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากนั้นจึงค่อยมุ่งสร้างองค์กรให้เกื้อหนุนการทำงานของ Intelligence ต่อไป ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม หากคุณเข้าใจถึงข้อกำหนดพื้นฐานทางธุรกิจและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันของคุณโดยมี Intelligence ที่องค์กรของคุณต้องการเป็นสิ่งผลักดัน คุณก็จะสามารถเห็นได้อย่างกระจ่างชัดว่าคุณต้องทำอะไรต่อไปเพื่อพัฒนาธุรกิจของคุณด้วยการใช้ BICC เป็นบันไดสนับสนุนการตัดสินใจ และเมื่อด้วย BICC คุณจะสามารถยกระดับองค์กรของคุณให้เติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคงทั้งในด้าน กระบวนการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร บุคลากร และโครงสร้างทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มรายรับทางธุรกิจที่เป็นเป้าหมายสำคัญของทุกองค์กรให้แก่บริษัทของคุณอีกด้วย
ภาพประกอบบทบาทของบุคคลากรใน BICC
บุคคลากรประเภทไหนที่ BICC ต้องการ? ต้องมีความเชี่ยวชาญ ความรู้ และคุณสมบัติแบบใด? อย่างน้อยที่สุด BICC ควรจะประกอบด้วย ผู้จัดการ BICC นักวิเคราะห์ธุรกิจ หัวหน้าส่วนดูแลข้อมูล และ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี หลังจากการก่อตั้งได้สักระยะแล้ว BICC สามารถที่จะขยายบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างตัวอย่างในภาพ ซึ่งใน BICC ขนาดใหญ่ จะรวมถึง
ผู้จัดการโครงการ นักสื่อสารภายในองค์กร นักออกแบบแอพพลิเคชั่น ที่ปรึกษาด้านระบบคลังข้อมูล พนักงานดูแล license นักสถิติ และที่ปรึกษาให้การอบรม
โรเบิร์ต – นักออกแบบแอพพลิเคชั่น ดูแลโครงสร้างของโซลูชั่นทั้งหมด รวมถึงการพิจารณาประสิทธิภาพ การเลือกการจัดเก็บ storage การจัดการและออกแบบ data model คลาวเดีย - ที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ มีความเข้าใจใน model และรายงานการวิเคราะห์ พร้อมทั้งมีความสามารถในการพัฒนาปรับปรุงผลที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงสถิติไปใช้ในการดูปัญหาของธุรกิจได้ ช่วยการพัฒนาและจัดตั้งโซลูชั่น BI และช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้งานในระดับแอดวานซ์ที่พวกเขาไม่สามารถทําได้เอง แอนนา – ผู้จัดการ BICC โปรโมตความสําคัญของ BICC ในองค์กร และดูแลโครงการ BI เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร ยวน – หัวหน้าส่วนดูแลข้อมูล บ่งชี้ และบริหารปัญหาข้อมูลภายในองค์กร โปรโมตและช่วยในการบริหารงานส่วนข้อมูลทั้งหมดเพื่อที่จะก่อให้เกิด BI ในองค์กร เดวิด - นักวิเคราะห์ธุรกิจ เข้าใจในกฏเกณฑ์ และขั้นตอนของธุรกิจในองค์กร และทราบว่าองค์กรต้องใช้ข้อมูลอย่างไร รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์หรือขั้นตอนให้สอดคล้องกับข้อมูล อิโลน่า – ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ดูแล และสร้างความมั่นใจในการติดตั้งระบบ BI ทางเทคนิค ให้คําปรึกษาทีมที่ดูแลโครงการในส่วนของการเชื่อมต่อ ระบบความปลอดภัย หรือ ตอบคําถามด้านเทคนิคต่างๆ โมเต้ – ผู้จัดการโครงการ บริหารทิศทางของโครงการวันต่อวัน และประสานงานร่วมกับทีม รวมถึงรายงานสถานะของโครงการไปยังผู้ให้ทุน นอกจากนี้ยังบริหารทรัพยากรต่างๆ อาทิเช่น อุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ account ของกลุ่มผู้ใช้ และเนื้อที่ใช้สอยในสํานักงาน
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมแวะชมชมได้ที่เว็บไซต์ http://www.sas.com/consult/bicc.html

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

คำนิยามของ supply chain

Supply Chain เป็นกิจกรรมที่มีการปะทะสัมพันธ์หรือ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างการจัดซื้อกับการตลาดในลักษณะที่เป็นบูรณาการ การค้าในยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งเป็นการค้าแบบไร้พรมแดน ทั้ง Logistics และ Supply Chain ต่างก็จะมีภาระหน้าที่ (Function) แตกต่างกันในอาณาบริเวณของตลาด โดยต่างก็เป็นกิจกรรม ที่ส่งเสริมการตลาด และการผลิตโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน”
คำนิยามของ Supply Chain โดย Robert B. Handfield & Ernest L. Nichols, Jr.“Supply Chain Management (SCM) is the integration and management of supply chain organizations and activities through cooperative organizational relationships, effective business processes , and high levels of information sharing to create high-performing value systems that provide member organizations a sustainable competitive advantage.”
จากคำนิยามข้างต้น อาจให้ความหมายของ Supply Chain Management ว่าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบูรณาการ (Integration) และการจัดการในองค์กรที่ได้มีการนำห่วงโซ่อุปทานและยังรวมถึงกิจกรรมต่างๆ และเกี่ยวข้องกับกิจกรรมความสัมพันธ์และความร่วมมือ ซึ่งมีผลกระทบต่อกระบวนการทางธุรกรรมในอันที่จะสร้างเสริมให้มีมูลค่าเพิ่มในสินค้าแะบริการอันนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ในทัศนะของผู้เขียนให้คำจำกัดความที่น่าจะเหมาะสมและกระทัดรัดที่สุดเกี่ยวกับ Supply Chain Management ในความหมายที่ว่า ปฏิสัมพันธ์ของการจัดการกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอุปทานของสินค้าและบริการ โดยการปฏิสัมพันธ์จะมีลักษณะเชิงบูรณาการ โดยมีเป้าหมายในการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และสนองตอบต่อความต้องการของตลาด , การผลิต , การกระจายและการส่งมอบสินค้าและรวมถึงการสื่อสารสนเทศของข้อมูลและข่าวสาร โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดต้นทุนรวมของธุรกิจและเพิ่มศักยภาพของการแข่งขัน จะเห็นได้ว่าการจัดการซัพพลายเชนเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งของวัตถุดิบต้นน้ำ (Up stream Source) จนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการปลายน้ำ (Down stream Customers) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ จะครอบคลุมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบกระบวนการส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดและการผลิต รวมถึงกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าจนถึงมือผู้ต้องการสินค้า ทั้งนี้ กระบวนการต่างๆ จะมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะของบูรณาการ โดยมุ่งที่จะลดต้นทุนรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ อันนำมาซึ่งความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า ทั้งนี้ ภาระกิจสำคัญของ Supply Chain จะมุ่งให้ลูกค้าเกิดความพอใจสูงสุด โดยเน้นในเรื่องประสิทธิผลเชิงต้นทุน และผลตอบแทนทางธุรกิจก็คือ Profit Gain Satisfaction
Supply Chain เป็นเรื่องของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการวางแผนการผลิต และกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะ Marketing Mixed (ส่วนผสมการตลาด) ซึ่งจะเห็นว่า Supply Chain จะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Product Concept (แนวคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์) , Product Design , Raw Material Supply (การจัดหาวัตถุดิบ) , Production Process (ขบวนการเกี่ยวกับการผลิต) , Transport , Warehouse และ Distributor (การกระจายสินค้า) เพื่อจัดจำหน่ายต่อไปยังผู้ค้าส่งและร้านค้าปลีก จนกระทั่งสินค้าไปถึงมือผู้บริโภคคนสุดท้าย (End Consumers) กระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่า “ห่วงโซ่ของการสร้างมูลค่า” หรือ “VALUE CHAIN” มีนักวิชาการโลจิสติกส์บางท่าน กล่าวถึง Logistics และ Supply Chain ต่างเป็นกิจกรรมที่ เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้า (Cargoes Moving) โดยกล่าวว่า Logistics จะเป็นการเคลื่อนย้ายเฉพาะภายในองค์กร และ Supply Chain เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการระหว่างองค์กร ซึ่งผู้เขียนก็จะมีความเห็นที่ต่างออกไป คือ “Logistics เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย (Moving) สินค้าและบริการ ทั้งในองค์กรและระหว่างองค์กร” ส่วน Supply Chain จะเน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับองค์กร ทั้งที่เป็นส่วนอุปสงค์ (Demand) และส่วนของอุปทาน (Supply Side) ในลักษณะที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุน การเคลื่อนย้าย (Moving) ในความหมายนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะกิจกรรมขนส่งที่เป็น Transport เท่านั้น แต่รวมถึงกระบวนการในการส่งต่อที่มีผลทางกายภาพให้วัตถุดิบ-สินค้า-บริการ มีการเคลื่อนย้ายจาก Origin Sources ไป End Sources ส่วนคำว่า Chain นั้นผู้เขียนเจตนาที่จะใช้คำว่าห่วงโซ่ ไม่ใช้คำว่า “โซ่” เหมือนในบางตำรา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Supply Chain เป็นเรื่องของบูรณาการ Chain ในความหมายที่เป็น ห่วงโซ่ จะให้เห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเป็นห่วงของแต่ละโซ่ที่สอดคล้องร้อยรัดแต่ละกระบวนการที่เกี่ยวข้องใน Supply Chain เข้าด้วยกันในลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นวงแหวน
ความหมายของซัพพลายเชนแบบปฏิสัมพันธ์เชิงวงแหวน (Annular Reaction) ปฏิสัมพันธ์ หรือ Reaction เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสนองตอบหรือการตอบโต้ระหว่างบุคคลหรือหน่วยงาน ซึ่งจะมีผลทั้งในทางบวกและทางลบ สำหรับวงแหวนผู้เขียนเจตนาใช้คำว่า Annular ซึ่งแปลว่า “วงแหวนล้อมรอบ” โดยไม่ใช้ “Circle” ซึ่งเน้นความเป็นวงกลมซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อ Supply Chain จะเกี่ยวข้องในการสนับสนุนการผลิตและการจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึง การเชื่อมต่อและประสานสัมพันธ์ของรอยต่อของกิจกรรมต่างๆในกระบวนการดังกล่าว โดยมีภาระกิจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน จะอยู่ที่การจัดการเคลื่อนย้าย (Moving) สินค้าและบริการ รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร ภายใต้ตัวชี้วัดและข้อจำกัดของเงื่อนเวลาที่เป็นแบบทันเวลา (Just In Time & Real Time) โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการสร้างความพอใจให้กับลูกค้าแบบยั่งยืน (Customer Satisfaction) โดยกระบวนการของ Supply Chain จะประกอบไปด้วย กระบวนการจัดหา , การผลิต , การตลาด , การกระจายสินค้า , การขนส่งและการเคลื่อนย้าย (Movement) , การจัดเก็บ และเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีการจัดการเชิงระบบ (Systems) ให้แต่ละกระบวนมีการสอดประสานมีปฏิสัมพันธ์ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความพอใจให้ลูกค้าและลดต้นทุนรวมเพื่อเพิ่มศักยภาพของการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน โดยพันธะกิจของ Supply Chain จะครอบคลุมเกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารข้อมูล เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยทำให้การดำเนินงานต่างๆดังกล่าว สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมี ประสิทธิผล โดย Supply Chain จะเริ่มต้นจากแหล่งของวัตถุดิบไปสู่ผู้ผลิตและกระบวนการขนส่งไปสิ้นสุดปลายทางที่ผู้บริโภคขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า Consumers คือเป็นกิจกรรมที่มีการปะทะสัมพันธ์หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างการจัดซื้อกับการตลาดในลักษณะที่เป็นบูรณาการ ซึ่งจากนิยามในมุมมองของผู้เขียนนั้น กิจกรรมของ Logistics ก็จะเป็นกระบวนการหนึ่งในกิจกรรมของ Supply Chain แต่ Logistics จะเน้นพันธกิจในฐานะเป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการในแต่ละช่วงต่อของกระบวนการ Supply Chain ซึ่งทำให้รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของกระบวนการที่เกี่ยวข้องกลายเป็นลักษณะของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งก็คือ Supply Chain นั่นเอง อย่างไรก็ดี กิจกรรมของ Logistics ไม่ใช่มีแต่เฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้า แต่ยังประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย ทั้งนี้การเคลื่อนย้าย (Moving) ก็ไม่ใช่ หมายความเฉพาะการเคลื่อนย้ายสินค้าในลักษณะของการขนส่ง (Transportation) แต่หมายถึงกิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้สินค้าและบริการ มีการเคลื่อนไหว เช่น การเคลื่อนย้ายสินค้าภายในคลังหรือการเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบเข้าไปในกระบวนการผลิต

***ข้อมูลจาก http://utcc2.utcc.ac.th

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

คำจำกัดความของ CRM

CRM คืออะไร
ย่อมาจาก Customer Relationship Management หรือเรียกว่า
การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและการ
ใช้บุคลากรอย่างมีหลักการ CRM ได้ถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากจำนวนคู่แข่งของ
ธุรกิจแต่ละประเภทเพิ่มขึ้นสูงมาก การแข่งขันรุนแรงขึ้นในขณะที่จำนวนลูกค้ายังคงเท่าเดิม
ธุรกิจจึงต้องพยายามสรรหาวิธีที่จะสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าอันจะนำไปสู่ความจงรักภักดีในที่สุด


***ข้อมูลจาก www.google.com

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

น้องใหม่รายงานตัว

และแล้ววันนี้น้องหมูของพี่ๆก็มีblogger ของตัวเองแล้ว
blogger ของน้องหมูชื่อ suramarai นะครับพี่ๆ